ต่อกระแสความฮิตต่อเนื่องกับแบรนด์สกู๊ตเตอร์ระดับตำนานจากอิตาลีอย่าง Lambretta ซึ่งหลังจากที่เปิดตัวโมเดล X300 SR Monochrome คอลเลกชันใหม่ไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ ทางค่ายเองก็ได้ทำการจัดเซอร์ไพรส์ครั้งใหญ่ กับการเปิดตัวโมเดล Lambretta X200 โฉมพิกัดใหม่เอาใจสาย New Entry พร้อมที่จะพาเข้าด้อมเหล่า Lambrettista ในสไตล์สุดชิค โดดเด่น ไม่ซ้ำใคร
รีวิว Lambretta X200 รูปหล่อ ทรงดี ขี่สมูท
แต่ก่อนอื่นเลยสำหรับใครที่ยังไม่รู้จักกับความเป็นมาของ Lambretta แล้วหล่ะก็ ขอพาย้อนคร่าว ๆ กันซักนิด สำหรับต้นกำเนิดของแบรนด์นั้นเกิดในช่วงปี ค.ศ. 1947 โดยคุณ Ferdinando Innocenti เจ้าของธุรกิจผลิตชิ้นส่วนเครื่องบินในสมัยนั้น
แต่ด้วยผลพวงความเสียหายจากการระเบิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงทำให้คุณ Ferdinando เกิดไอเดียที่จะสร้างรถมอเตอร์ไซค์จากซากเครื่องบินที่ยังหลงเหลืออยู่ จนก่อกำเนิดเป็นรถมอเตอร์ไซค์แลมเบรตต้าที่เห็นกันในทุกวันนี้
สำหรับโมเดล Lambretta X200 ถือเป็นพิกัดใหม่ที่จะเข้าเสริมทัพในตระกูล X-Series เพิ่มทางเลือกให้กับผู้ที่หลงใหลในกลิ่นอายแห่งความสปอร์ต ผสมผสานกับความคลาสสิกระดับพรีเมียม ดูโดดเด่น เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ภายใต้คอนเซ็ปต์ “I Know What I Want” บ่งบอกถึงกลุ่มไลฟ์สไตล์ที่มีความเป็นตัวของตัวเอง ชอบอะไร ก็จัดไปให้สุด
Lambretta X200 ดีไซน์เอกลักษณ์ ในแบบโมเดิร์นคลาสสิก
ในส่วนรูปลักษณ์การดีไซน์ของโมเดลรุ่นนี้ เริ่มจากมิติตัวรถที่ใช้โครงสร้างตัวแบบ Low&Long โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากโมเดลในยุคบุกเบิก รวมถึงสัดส่วนของการออกแบบตัวเฟรมที่ดูมีความโฉบเฉี่ยวผสมผสานกับความคลาสสิกอีกด้วย
สำหรับรายละเอียดดีเทลต่าง ๆ ของตัวรถ เริ่มจากด้านหน้ากับไฟหน้าทรงหกเหลี่ยม พร้อมไฟเดย์ไทม์รันนิ่งไลท์ รวมถึงบิลด์อินต์สัญลักษณ์แบรนด์เข้าไว้เข้าในตัวโคมไฟ ดูสวยงาม ต่อด้วยในส่วนของบังลมด้านหน้าที่มีการติดตั้งตัวเพลทสำหรับชื่อรุ่นทางฝั่งซ้ายให้คนมองไม่สับสน ส่วนฝั่งขวาจะเป็นในส่วนโลโก้แบรนด์ รวมถึงแบดจ์พิเศษของทางค่ายติดมาให้อีกด้วย
นอกจากนี้ ทางค่ายยังประดับเพลทที่มีตราของผู้ก่อตั้งแบรนด์ บริเวณไทหน้า รวมถึง แถบลายธงชาติอิตาลีให้ดูโดดเด่น ดูมีสไตล์ของความเป็นรถอิตาเลียนแท้ ๆ ส่วนไฟเลี้ยวบิลด์อินต์เข้าไปในบังลมดูเรียบหรูเพิ่มขึ้น รวมถึงไฟท้ายขนาดใหญ่ ดีไซน์รูปทรงคริสตัล 7 แท่งเป็นเอกลักษณ์แบบ X Series ออกแบบมาอย่างสวยงาม
ต่อด้วยในส่วนของประกับคอนโทรล เริ่มจากฝั่งซ้ายจะพบกับสวิตช์ไฟสูงต่ำ ไฟเลี้ยวและแตรติดมาให้ ส่วนฝั่งขวาจะพบไฟฮาซาร์ดหรือไฟฉุกเฉิน สวิตช์โหมดคอนโทรล รวมถึงปุ่มสตาร์ทรถ มาด้วยหน้าจอเรือนไมล์แบบอนาล็อก-ดิจิทัล ดีไซน์สวยงาม และจุดสังเกตที่ใต้ตัวเรือนไมล์จะพบกับเพลทอักษรตัว X ประดับไว้ ดูมีความพรีเมียมเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว
ต่อด้วยในส่วนของประกับคอนโทรล เริ่มจากฝั่งซ้ายจะพบกับสวิตช์ไฟสูงต่ำ ไฟเลี้ยวและแตรติดมาให้ ส่วนฝั่งขวาจะพบไฟฮาซาร์ดหรือไฟฉุกเฉิน สวิตช์โหมดคอนโทรล รวมถึงปุ่มสตาร์ทรถ มาด้วยหน้าจอเรือนไมล์แบบอนาล็อก-ดิจิทัล ดีไซน์สวยงาม และจุดสังเกตที่ใต้ตัวเรือนไมล์จะพบกับเพลทอักษรตัว X ประดับไว้ ดูมีความพรีเมียมเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว
ส่องลงมาจะพบกับสวิตช์ควบคุมรถแบบ SmartKey ที่มีฟังก์ชันการใช้งานต่าง ๆ ทั้งสตาร์ท-ดับเครื่องยนต์ เปิดเบาะใต้รถและล็อกคอรถ ช่องระบายอากาศแบบครีบฉลาม และเพลทด้านซ้ายที่กำกับลายเซ็นต์ของคุณ Ferdinando Innocenti บ่งบอกถึงความใส่ใจ ความพิถีพิถันในการออกแบบจากทางค่ายอีกด้วย
นอกจากนี้ ฟุตเพลทหรือที่พักเท้าออกแบบมาให้มีขนาดกว้างพร้อมติดแผ่นยางกันลื่น รวมถึงประดับพิมพ์บนแผ่นยางให้ดูโดดเด่นมากยิ่งขึ้น ต่อด้วยของเบาะแบบชิ้นเดียว ดีไซน์โดดเด่น พร้อมปาดเว้าด้านข้างออกมาได้สวยงาม
รวมทั้งมีการไล่ตะเข็บเป็นชั้น ๆ เพิ่มความสวยงามขึ้นไปอีก และจุดที่น่าสนใจ กับลายปักโลโก้แลมเบรตต้าด้วยด้ายสีเทา เพิ่มความเข้ม เท่ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจของโมเดลรุ่นนี้เลยไม่น้อย
ด้วยลวดลายสติ๊กเกอร์ บนตัวเฟรมที่ดีไซน์ออกแบบมาใหม่ โดยมีการเล่นสีให้ดูแตกต่างมากยิ่งขึ้น ถือเป็นอีกหนึ่งจุดที่เราสามารถสังเกตได้ว่ารุ่นนี้แหล่ะ X200 อย่างแน่นอน บ่งบอกถึงความเป็นรถอิตาเลียนอย่างแท้จริง รวมถึงกิมมิกจุดเล็กน้อย ๆ ทั้งมือจับคนซ้อนบริเวณใต้เบาะด้านหลัง ที่แขวนของอเนกประสงค์ติดมาให้ใช้งานอีกด้วย
รวมถึงการใช้เส้นสายสีดำตัดไล่ตามขอบคิ้วส่วนต่าง ๆ ของตัวรถทั้งครอบไฟหน้า ชุดกระจก ชุดโช้คอัพ แคร้งข้าง ที่ให้อารมณ์ความสปอร์ตมากยิ่งขึ้น และอีกจุดที่น่าสนใจ สำหรับสัญลักษณ์โลโก้แบรนด์ตามจุดต่าง ๆ ของตัวรถรอบคัน หากพูดไปก็คงไม่หมด ไปชมภาพกันดีเลยดีกว่า
โดยรวมการออกแบบของโมเดลรุ่นนี้ ค่อนข้างเสมือนกับโมเดลรุ่นพี่อย่าง X300 เพราะด้วยการใช้โครงสร้าง ตัวเฟรมบอดี้ รวมถึงชิ้นส่วนต่าง ๆ แบบเดียวกันเกือบทุกจุด แต่จะแตกต่างเพียงจุดเล็กน้อย ๆ ที่ออกแบบเพิ่มเสริมความหล่อไปอีกขั้นเฉพาะรุ่นนี้ โดยเราสามารถสังเกตได้ที่เพลทด้านหน้า และสติ๊กเกอร์ด้านข้างนั่นเอ
สำหรับเจ้า X200 มาพร้อมกับเครื่องยนต์ LSP (Lambretta Super Performance) แบบสูบเดียว 4 วาล์ว ขนาด 184.7 ซีซี ระบายความร้อนด้วยน้ำ พร้อมพัดลมระบายความร้อนติดตั้งเพิ่มมาให้อีก 2 ตัว และใช้ระบบจ่ายน้ำแบบหัวฉีด ถังน้ำมันขนาด 7.5 ลิตร ระบบสตาร์ทไฟฟ้า ให้พละกำลังแรงม้าสูงสุดที่ 18.3 แรงม้าที่ 5,750 รอบ พร้อมแรงบิด 16.5 นิวตันเมตรที่ 6,750 รอบ
รวมถึงใช้ระบบส่งกำลังแบบสายพาน โดยพื้นฐานเครื่องยนต์ของรุ่นนี้จะใช้แบบเดียวกันรุ่นพี่ X300 SR แต่แตกต่างกันเพียงขนาดของกระบอกสูบ ที่ปรับปรุงมาเพื่อความสมูทมากยิ่งขึ้น ให้ผู้ขับขี่สาย New Entry สามารถใช้งานได้ง่ายอีกด้วย
ช่วงล่างพัฒนาใหม่
นอกจากนี้ ทางค่ายเองได้มีการปรับปรุงในระบบช่วงล่างให้ตอบโจทย์การใช้งานได้มากยิ่งขึ้น ด้วยระบบกันสะเทือนกับโช้คอัพแบบ Double Arm-Link พร้อมกับความพิเศษของรุ่นนี้ด้วยการเพิ่มฟังก์ชันให้สามารถปรับพรีโหลดได้ถึง 7 ระดับ สามารถรองรับการใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ
ต่อด้วยระบบเบรกกับดิสก์เบรกหน้า-หลัง มาพร้อมระบบ ABS Dual Channel เสริมความมั่นใจและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น และล้อขนาดเท่ากันที่ 12 นิ้ว และยางแบบไม่ใช้ยางใน ขนาด 120/70-130/70 ตามลำดับ
เทคโนโลยีพร้อมรองรับใช้งาน
ในส่วนของเทคโนโลยีที่ติดตั้งมาให้ ด้วยระบบอำนวยความสะดวกในการขับขี่ ทั้งระบบไฟส่องสว่างแบบ LED รอบคัน หน้าจอเรือนไมล์ดิจิทัล-อนาล็อก ระบบสมาร์ทคีย์ ระบบ IFS ที่ออกแบบให้ทั้ง ไฟเลี้ยว/ไฟฉุกเฉินและไฟเบรก บิลต์อินอยู่ภายใต้โคมไฟอันเดียวกัน ช่องเสียบ USB Type C ด้านหน้า สามารถชาร์จอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้ รวมถึงระบบเสริมความปลอดภัยกับ ABS แบบ Dual Channel
ฟีลลิ่งการทดสอบขับขี่
สำหรับการรีวิวทดสอบในครั้งนี้ ต้องขออนุญาติเข้าก๊วน Lambretista กันอีกครั้ง ไปพร้อมกับการ รีวิว Lambretta X200 โฉมคันนี้และ อีกทั้งยังเป็นคันแรกในประเทศไทยที่ได้มาลองรีวิวทดสอบอีกด้วย โดยขับขี่ผ่านเส้นทางศรีนครินทร์-พระราม 9-อโศก-พระราม 3 และแวะถ่ายรูปหล่อ ๆ สไตล์ชิค ๆ เดี๋ยวมาเล่าให้ฟังถึงฟีลลิ่งการขับขี่ในทีละจุดว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง
อันดับแรกเลย ท่านั่งขับขี่ ส่วนตัวที่มีสูง 175 ซม. ในจุดนี้พอนั่งคร่อมแล้วรู้สึกว่าตัวรถนั้นไม่ได้สูงมาก ถึงจะใช้บอดี้ตัวเดียวกันกับ โฉม X300 แต่ส่วนตัวที่เคยลองขับขี่เจ้า G350 มาแล้วเลยรู้สึกว่า ดูไม่ใหญ่จนเกินไป แถมกระชับคล่องแคล่ว นั่งแล้วหลังตรงสมส่วน
ส่วนขาเหยียบพื้นสบาย ๆ แถมตัวเบาะที่ปาดเว้าด้านข้างทำให้เวลานั่งขับขี่แล้วขาไม่กางออก แถมยังสามารถขยับท่านั่งได้แบบชิล ๆ หัวเข่าไม่ชนบังลมหน้าอีกด้วย
รวมทั้ง ตำแหน่งการวางเท้าสามารถขยับได้สบาย ฟุตเพลทมีพื้นที่เหลือ ๆ ให้ขยับเท้าแก้เมื่อยในระหว่างขับขี่ รวมไปถึงระยะความกว้างของแฮนด์ที่ไม่ได้กว้างมาก พอดีกับช่วงตัว ทำให้การคอนโทรลนั้นดูคล่องตัว และแน่นอนว่าตัวรถนั้นให้คาแรคเตอร์ดูมีความโมเดิร์นผสมกับความสปอร์ตและคล่องตัวอยู่แล้ว โดยรวมในจุดนี้ถือว่าตอบโจทย์
มาพูดถึงมุมมองการขับขี่ โดยหลังจากที่ได้ลองขับขี่ไปแล้ว ตัวเรือนไมล์ กระจกข้างนั้นไม่บดบังสายตา สามารถมองเห็นวิสัยทัศน์ข้างหน้าได้อย่างชัดเจน เนื่องด้วยมิติตัวรถนั้นไม่ได้สูงจนเกินไป อยู่ในช่วงระนาบข้อศอกเท่านั้น นอกจากนี้ตัวเรือนไมล์ยังสามารถอ่านค่าได้ง่าย ทำให้สะดวกต่อการใช้งานมากขึ้น
ต่อด้วยในส่วนของฟีลลิ่งเครื่องยนต์ เชื่อได้ว่าคนอ่านคงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ กับเครื่องยนต์สูบเดียวขนาด 184.7 ซีซี ถือว่าให้กำลังมาได้ดี ขับขี่สมูท คล่องตัว ทั้งในย่านความเร็วต่ำหรือช่วงเดินรอบเบา ในเวลาขี่มุดซอกแซกช่วงรถติด หรือขับขี่เร่งแซง ส่วนนี้ก็ตอบโจทย์
สำหรับการทดสอบครั้งนี้ใช้ความเร็วเฉลี่ยที่ 70 – 90 กม. ซึ่งเพียงพอต่อการขับขี่ในเมือง รวมถึงยังสามารถขี่ออกทริปต่างจังหวัดก็ยังทำได้ เพราะทางค่ายได้ติดตั้งระบบระบายความร้อนมาให้ถึง 2 แบบถือว่าให้ความหลากหลายในการขับขี่ใช้งานในพิกัดนี้
มาพูดถึงฟีลลิ่งช่วงล่างกันบ้าง ด้วยทางค่ายได้ทำการ R&D พัฒนาโช้คหน้าแบบใหม่ เพิ่มฟังก์ชันการปรับพรีโหลดหรือค่าความแข็งของสปริงได้ถึง 7 ระดับ รวมถึงโช้คหลังสามารถปรับได้เช่นเดียวกัน ซึ่งหลังจากที่ได้ลองขี่ผ่านช่วงรอยต่อถนน จั้มพ์ช่วงคอสะพาน
รวมถึงทางขรุขระต่าง ๆ แล้วรู้สึกได้ว่าตัวโช้คนั้นให้ความหนุ่มหนึบ รวมทั้งให้การบาลานซ์ มั่นคงและซับแรงได้ดี จึงเหมาะกับความต้องการใช้งานที่หลากหลายตามความถนัดของผู้ขับขี่ได้อีกด้วย
ในส่วนฟีลลิ่งระบบเบรก ด้วยโมเดลพิกัดนี้ได้ใช้ระบบดิสก์เบรกหน้า-หลัง หากเทียบกับโมเดลในพิกัดใกล้เคียงกัน ถือว่าเจ้า X200 รุ่นนี้ให้ระบบเบรกมาได้ดีเลยทีเดียว แถมยังติดตั้งระบบเบรก ABS Dual Channel แยกตัวเซ็นเซอร์จับทำงานทั้งล้อหน้าและล้อหลัง โดยรวมในส่วนนี้ให้หลักเพอร์ฟอร์มานซ์ได้ดี ในเวลาช่วงเบรกกระชันชิด หรือเวลากำเบรกหนัก ๆ นั้นตัวรถไม่มีอาการสะบัดให้เห็น ถือว่าทางค่ายทำออกมาได้ดีเกินพิกัดเลยทีเดียว
สำหรับโมเดลรุ่นนี้เปิดจำหน่ายด้วยกัน 6 เฉดสี ใน 2 สไตล์ ให้เลือกแบบที่ใช่สำหรับตัวเอง ได้แก่
สไตล์ PlayFul Colors กับ 3 เฉดสีสันสดใส ประกอบไปด้วย
- สี Salmon Pink หรือสีชมพู แซลมอนพิงค์ เฉดสีพิเศษในโทนชมพูอมส้ม ดูแล้วโดดเด่น สะดุดตา ให้ฟีลแบบสนุกสนานแถมแมทช์กับลุคใหม่ ๆ ไปกับไลฟ์สไตล์สุดคูล
- สี Cloudy Blue หรือ สีฟ้าคลาวดี้บลู ในความหมายเสมือนท้องฟ้าในวันที่ถูกปกคลุมไปด้วยแผ่นเมฆบางสีขาวโปร่งแสง ให้อารมย์เย็นสบายตา
- สี Limoncello Yellow หรือสีเหลืองลิม่อนเชลโล่ คันนี้นี่เองครับ โดยแรงบันดาลนั้นเกิดมาจากเครื่องดื่มแอลกฮอลล์ชนิดหนึ่งที่ค่อนข้างโด่งดังในอิตาลี ให้รสชาติเปรี้ยวอมหวาน ดูสดชื่น มีชีวิตชีวา
ต่อด้วยสไตล์มาดเข้มกับ Monochorme กับเฉดสีคุมโทน อินเทรนด์เหนือกาลเวลา ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคสมัย ซึ่งประกอบไปด้วย
- สี Gemma White หรือสีขาวเจ็มม่า กับความพิเศษของประกายระยิบระยับในเนื้อสี เสมือนอัญมณีทรงคุณค่า
- สี Scuro Grey หรือสีเทาสคูโร่ กับความพิเศษที่ให้อารมณ์สปอร์ตและความคลาสสิกในตัวตน ถือว่าเป็นอีกเฉดสีที่สะกดทุกสายตาให้หลงใหล
- สี Super Black หรือสีดำเงาแบบพิเศษ ให้อารมณ์ความเข้ม ดุดัน ทั้งคัน ทรงเสน่ห์น่าค้นหาอีกด้วย
โดยโมเดลรุ่นนี้ เปิดราคาแนะนำอยู่ที่ 134,900 บาท และพิเศษ!! เฉพาะช่วงโปรโมชันตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 11 ธ.ค. 66 นี้ รับ Voucher ส่วนลด 5,000 บาท เมื่อหักลบแล้วจะเหลืออยู่ที่ราคา 129,900 บาท เรียกได้ว่าเปิดตัวมากับราคาสุดเซอร์ไพรส์
ขอสรุปเลยแล้วกันสำหรับเจ้า Lambretta X200 ทั้งการส่วนของดีไซน์ที่โดดเด่น เป็นเอกลักษณ์แบบสุดโต่งแล้ว ตัวเฟรม เครื่องยนต์ ใช้แบบเดียวกันกับรุ่นพี่อย่าง X300 แตกต่างเพียงปริมาตรกระบอกสูบที่ตอบสนองฟีลลิ่งการขับขี่ที่สนุกไปคนละแบบ พร้อมช่วงล่างที่พัฒนามาใหม่ เพิ่มการบาลานซ์และความมั่นใจมากยิ่งขึ้น
กับราคาเปิดตัวที่ 1.3 แสนนิด ๆ แถมช่วงเปิดตัวยังมี Voucher ส่วนลดให้อีก ถือว่าคุ้มค่าทั้งสมรรถนะ เครื่องยนต์ ระบบช่วงล่างและเทคโนโลยีที่มีในรุ่นนี้ และที่สำคัญ สไตล์ตัวรถที่บ่งบอกถึงความเป็นตัวของตัวเอง ยิ่งนานวัน ยิ่งเพิ่มมูลค่า และนี่แหล่ะครับ จิตวิญญาณแห่งเหนือกาลเวลาของความเป็นแลมเบรตต้าที่ควรมีไว้ครอบครอง
สำหรับใครที่กำลังมองหาสกู๊ตเตอร์แนวโมเดิร์นคลาสสิกที่มีสไตล์เป็นเอกลักษณ์ แถมยังเป็นแบรนด์ระดับตำนานจากอิตาลีแล้วหล่ะก็ บอกเลยว่ารุ่นนี้ถือเป็นหนึ่งทางเลือกที่ควรมีไว้ขับขี่ใช้งาน เหมาะกับมือใหม่เลยทีเดียว หรือจะนำมาคัสตอม ตกแต่ง สะสมเป็นคอลเลกพิเศษก็ทำได้ ถูกใจสายแต่งอย่างแน่นอน
และสำหรับครั้งต่อไปจะเป็นโมเดลรุ่นอะไรจากทางแลมเบรตต้าที่เราจะนำมารีวิวก็อย่าลืมฝากติดตามเพจ SuperBike Thailand ได้ทุก ๆ ช่องทางครับผม แล้วก็อย่าลืม Lambretta X200 ช่วงนี้ลดราคาแล้ว..รีบตัดสินใจกันนะจ๊ะ เดี๋ยวโปรฯหมดซะก่อน
สนใจ คำนวณตารางผ่อนชำระ Lambretta ได้ที่ https://lambretta.co.th/finance/
สนใจจองรถ Lambretta X200 ได้ที่ https://booking.lambretta.co.th/